วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Thai Big Match

โตโยต้าลีกคัพ บุรีรัมย์2-0การท่าเรือ

Jules Rimet

ประวัติถ้วยบอลโลก ตำนานโทรฟี่ฟุตบอลโลก จาก ‘จูลส์ ริเมต์’ ถึง ‘ฟีฟ่าเวิลด์คัพ
ความเป็นมาของถ้วยฟุตบอลโลกที่นับเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศนั้นมีด้วยกันสองรุ่น โดยรุ่นล่าสุดนี้เป็นถ้วยรางวัลที่ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75 เปอร์เซ็นต์) ความสูง 36.5 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐาน 13 เซนติเมตร และมีน้ำหนักรวม 6.175 กิโลกรัม
fifa 
world cup trophy ถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ
fifa world cup trophyถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ

เรียกว่าถ้วยฟีฟ่าเวิลด์คัพ (
) ออกแบบโดยประติมากรรมชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐานเป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังเคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะแห่งการฉลองชัยชนะ
ถ้วยเวิลด์คัพใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี จากนั้นจึงลงไปอยู่อเมริกาใต้ แล้วกลับขึ้นมายุโรป สลับกัน 2 ทวีป อย่างนี้ในทุก 4 ปี เพราะประเทศที่ได้แชมป์จากเยอรมนีก็คือ อาร์เจนตินา (1978) อิตาลี (1982) เยอรมนี (1990) แล้วก็ล่าสุดคือบราซิล (1994)
แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่า หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน
สำหรับประวัติถ้วยบอลโลกจูลส์ ริเมต์
trophy jules rimet (ถ้วยบอลโลกจูลส์ ริเมต์)
trophy jules rimet (ถ้วยบอลโลกจูลส์ ริเมต์)
ถ้วยเดิมชื่อถ้วยจูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่า ชาวฝรั่งเศสที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งแรกสำเร็จในปีค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองหนัก 3.8 กิโลกรัม สูง 38 เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้า หรือไพฑูรย์ (Lapislazule) เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ (
goddess of victory
goddess of victory
ตรงเหลี่ยม 4 ด้านของฐาน สลักชื่อประเทศที่ได้แชมป์ที่ 9 ราย ชื่อนับตั้งแต่ปี 1930-1970
ถ้วยจูลส์ ริเมต์ หายไปถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปีค.ศ.1966 ช่วงที่อังกฤษได้แชมป์ มีคนมาพบว่าถูกฝังอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง โดยฝีมือเจ้าสุนัขตัวเล็กชื่อพิกเกิ้ลส์ แต่พอถ้วยมาหายจริงๆในปีค.ศ.1983 ช่วงบราซิลได้สิทธิครอบครองถ้วยนี้อย่างถาวร หลังจากคว้าแชมป์ 3 สมัยได้สำเร็จ โดยขโมยมือดีฉกถ้วยจากที่เก็บในนครริโอเดอจาเนโร ประวัติกันจริงๆ แล้ว ถ้วยใบนี้แรกสุดก็ไม่ได้ใช้ชื่อดังกล่าว แต่อย่างใด เพราะมีคนตั้งชื่อเล่นให้ว่า “วิกตอรี่” ที่แปลว่า “ชัยชนะ” ตามชื่อของเทพีไนกี้เอาไว้แล้ว กระทั่งปี 1946 จึงได้มีการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นเกียรติแก่ “ฌูลส์ ริเม่ต์” ประธานฟีฟ่าผู้ริเริ่มให้จัดการแข่งขันขึ้นมานั่นเอง
ช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 ถ้วยฌูลส์ ริเม่ต์ ได้รับการพิทักษ์รักษาโดย “อ๊อตโตริโน่ บาราสซี่” รองประธานฟีฟ่าชาวอิตาเลียน ผู้ตัดสินใจไปเอาถ้วยออกมาจากธนาคาร แล้วนำมาซ่อนไว้ในกล่องรองเท้าใต้เตียงตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารนาซียึดไป
แต่ถึงจะรอดพ้นจากการยึดครองของทหารนาซีมาได้ รางวัลสูงสุดของฟีฟ่ากลับต้องมา “เสียท่า” ให้กับขโมยธรรมดาๆ ซึ่งแอบดอดเข้าไปในเวสต์มินสเตอร์ เซ็นทรัล ฮอลล์ สถานที่จัดแสดงถ้วยในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1966 ก่อนหน้าฟุตบอลโลก 1966 ที่อังกฤษจะเปิดฉากเพียง 4 เดือน
เคราะห์ดีที่อีก 1 สัปดาห์ต่อมา หมาแสนรู้ “พิกเคิลส์” ไปพบถ้วยใบนี้ถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ทิ้งไว้ในพุ่มไม้แถวบ้านเจ้านายของมันเข้า
เมื่อมีประสบการณ์ร้ายๆ มาแล้ว ฟีฟ่าจึงตัดสินใจทำถ้วยจำลองขึ้นเพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองหลังจบศึกฟุตบอลโลก และถูกใช้ในสถานการณ์ต่างๆ อยู่เป็นระยะๆ กระทั่งถึงปี 1970 และมีการนำถ้วยจำลองออกประมูลเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เป็นมูลค่าสูงถึง 254,500 ปอนด์ โดยฟีฟ่าเอง เพื่อนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลในเมืองเพรสตัน ประเทศอังกฤษ
ส่วนถ้วยฌูลส์ ริเม่ต์ ของจริงนั้นทีมบราซิลได้รับสิทธิให้ครอบครองอย่างบริบูรณ์ ภายหลังคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 3 สมัย ได้เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1970
น่าเสียดายที่ถ้วยใบนั้นถูกขโมยไปจากอาคารสำนักงานสหพันธ์ฟุตบอลบราซิลในเมืองริโอ เดอจาเนโร เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 1983 และไม่เคยมีใครได้เห็นมันอีกเลย…
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากมอบถ้วยฌูลส์ ริเม่ต์ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของบราซิลไปแล้ว ฟีฟ่าจึงได้สร้างถ้วยรางวัลใหม่ขึ้นมา รู้จักกันในนามถ้วย “ฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ” ออกแบบโดย “ซิลบิโอ กัซซานิก้า” ศิลปินชาวอิตาเลียน ซึ่งฟีฟ่าเลือกขึ้นมาจากแบบที่มีผู้นำเสนอถึง 53 แบบ
ถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ ทำจากทองคำ 18 กะรัต (75 เปอร์เซ็นต์) ความสูง 36.5 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางที่ฐาน 13 เซนติเมตร และมีน้ำหนักรวม 6.175 กิโลกรัม
บริเวณฐานของถ้วยจะสลักคำว่า “ฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ” เอาไว้ชัดเจน โดยชื่อของแชมป์ในแต่ละสมัยจะถูกจารึกไว้ที่ฐานของถ้วยด้วยภาษาอังกฤษ ต่อจากปีที่ทีมนั้นๆ ได้แชมป์ อาทิ “2002 บราซิล” เป็นต้น
นักเตะคนแรกที่ได้ชูถ้วยใบนี้คือ “ฟร้านซ์ เบ๊กเค่นบาวร์” กัปตันทีมอินทรีเหล็กชุดแชมป์โลกปี 1974 และถึงปัจจุบันมีเพียง 5 ชาติเท่านั้นที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ที่ฐานของถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ นั่นคือ เยอรมนีตะวันตก อาร์เจนตินา อิตาลี บราซิล และฝรั่งเศส
แม้ฟีฟ่าจะมีกฎว่า จะไม่มีทีมใดได้ครอบครองถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ เหมือนกับถ้วยฌูลส์ ริเม่ต์ เมื่อครั้งอดีต (แชมป์แต่ละครั้งจะได้ “ยืม” ถ้วยไปเชยชม 4 ปี แล้วต้องเอาไปคืนเพื่อใช้ในฟุตบอลโลกหนต่อไป และฟีฟ่าจะมอบถ้วยจำลองให้ไว้เป็นที่ระลึกแทน) แต่เนื่องจากฐานของถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์คัพ นั้นจะจารึกชื่อแชมป์โลกไปได้จนถึงปี 2038 หรืออีก28 ปีข้างหน้าเท่านั้น

Thailand national football team

The Thailand national football team (Thai: ฟุตบอลทีมชาติไทย) represents Thailand in international football competition and is governed by the Football Association of Thailand. The team has a history of success in Southeast Asian competition, with three ASEAN Football Championship titles and nine senior-level Southeast Asian Games titles. Thailand also finished third in the 1972 Asian Cup and have competed twice in the Summer Olympics and four times in the Asian Games.

The team was founded in 1915 as the Siam national football team and played its first unofficial match (against a team of Europeans) at the Royal Bangkok Sport Club Stadium on December 20 of that year. On April 25, 1916, King Vajiravudh established the Football Association of Siam. The team played its first international match in 1930 against the Indochina national team, which included both South Vietnamese and French players. Both the Siam team and its governing association were renamed in 1949 when Siam became Thailand.
Thailand appeared in the 1956 Summer Olympics in Melbourne, where they lost to Great Britain by a score of 0–9 (the largest defeat in team history) and failed to advance to the quarterfinals. In 1965, Thailand won the gold medal in the Southeast Asian Peninsular Games (now called the Southeast Asian Games) in Kuala Lumpur, Malaysia. As of 2010, Thailand have won the biennial competition twelve times.
The team made another appearance at the Summer Olympics in 1968, losing to Bulgaria 0–7, Guatemala 1–4, and Czechoslovakia 0–8 en route to a first-round exit. This was the Thailand football team's last appearance in the Olympics as of 2010.
Thailand qualified automatically for the 1972 AFC Asian Cup as the hosts and went on to place third after defeating Cambodia 5–3 on penalties after a 2–2 draw in the third-place game. Thailand have qualified for the tournament a total of six times. The team won the first of its 13 King's Cup trophies in 1976, sharing the title with Malaysia after a 1–1 draw in the final match.

Cristiano Ronaldo

Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro,[2] OIH, (born 5 February 1985),[3] commonly known as Cristiano Ronaldo, is a Portuguese footballer who plays as a winger or striker for Spanish La Liga club Real Madrid and is the captain of the Portuguese national team. Ronaldo became the most expensive player in football history after moving from Manchester United to Real Madrid in a transfer deal worth £80 million (€94 million). In addition, his contract with Real Madrid, in which he is paid €12 million per year, makes him one of the highest-paid football player in the world,[4] and his buyout clause is valued at €1000 million (€1 billion, in English usage), as per his contract.[5]
Ronaldo began his career as a youth player for Clube de Futebol Andorinha de Santo António, where he played for two years, before moving to Clube Desportivo Nacional. In 1997, he made a move to Portuguese giants Sporting Clube de Portugal. Ronaldo's precocious talent caught the attention of Manchester United manager Alex Ferguson, who signed the 18-year-old for £12.24 million (€15 million) in 2003. The following season, Ronaldo won his first club honour, the FA Cup and played at Euro 2004 with Portugal. Ronaldo scored his first international goal in the opening game of the tournament against Greece and also helped Portugal reach the final. He was featured in the UEFA Euro All-Star Team of this competition.
Ronaldo was the first player to win all four main PFA and FWA awards, doing so in 2007. He was third in the 2007 FIFA World Player of the Year award and second in the 2007 Ballon d'Or award. In 2008, Ronaldo won the Champions League with United, was named best forward and player of the tournament and was the competition's top goalscorer as well as winning the European Golden Shoe, becoming the first winger to do so, and topping the Premier League Golden Boot award. He won three of the four main PFA and FWA trophies, only missing the PFA Young Player of the Year, and was named the FIFPro, World Soccer, Onze d'Or,[6][7][8] and the FIFA World Player of the Year, in addition to becoming Manchester United's first Ballon d'Or winner in 40 years.[9] Ronaldo holds the distinction of being the first player to win the FIFA Puskás Award, in 2009, an honour handed by FIFA to the best goal of the year. He scored that goal from 40 yards out against F.C. Porto in a UEFA Champions League quarter-final match, while playing for Manchester United.[10] Three-time Ballon d'Or winner Johan Cruyff said in an interview on 2 April 2008, "Ronaldo is better than George Best and Denis Law, who were two brilliant and great players in the history of United."[11]. He was second in the 2009 FIFA World Player of the Year award and also second in the 2009 Ballon d'Or award.
Ronaldo became the highest goalscorer in a season in the history of Real Madrid with 53 goals, surpassing the club's previous high of 49 by Ferenc Puskás. Six days later, Ronaldo broke the record of most goals ever scored in a season in La Liga with 40, surpassing Telmo Zarra's mark established in 1951 (38 goals) and Hugo Sánchez's mark established in 1990 (38 goals). Ronaldo also broke Zarra's record of most goals per minute, with a goal scored every 70.7 minutes. The newspaper Marca, the official deliverer of the Pichichi Trophy (the top La Liga goalscorer award), claimed that Ronaldo scored 41 goals (Marca assigned one more goal to Ronaldo than La Liga, which attributed it to Pepe). By doing so, he won the European Golden Shoe award once again, becoming the first player to win the trophy in two different championships. He was third in the 2010-11 UEFA Best Player in Europe Award, behind Lionel Messi and Xavi Hernández, and second in the 2011 FIFA Ballon d'Or, behind Lionel Messi and ahead of Xavi Hernández.

FIFA Ballon d’Or

คลิป ลีโอเนล เมสซี่ คว้าบัลลงดอร์ 2011 (3 ปีซ้อน) 9 ม.ค. 2555
Lionel Messi Third Time The FIFA Ballon d’Or Award 9 Jan 2012

ลีโอเนล เมสซี่ ยอดดาวยิงระดับซุปตาร์ของทีมชาติอาร์เจนติน่า และสโมสร บาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังของ ลา ลีก้า สเปน ได้รับเลือกให้คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ประจำปี ค.ศ. 2011 หรือ “ฟีฟ่า บัลลงดอร์ 2011” ไปครองตามความคาดหมาย จากผลงานการพา “เจ้าบุญทุ่ม” คว้าแชมป์ลีกแดนกระทิงดุเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน รวมถึงการนำทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเจ้าตัวคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้นอีกด้วย จากการประกาศรางวัลที่นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 9 ม.ค. 2555 ที่ผ่านมา ขณะที่ เป็ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของ บาร์ซ่า ก้อคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมไปครองด้วยเช่นกัน

Big Match


Chelsea 3-3 Manchester United

Arsenal Vs Manchester United

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Best Player

กีฬาฟุตบอล ถือเป็นกีฬาอันดับหนึ่งของบ้านเราที่หลายต่อหลายท่าน ให้ความสนใจกันแบบมากมายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวงการฟุตบอลของยุโรปด้วยแล้ว เชื่อได้เลยว่าแฟนบอลบ้านเราต่างก็รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีทีเดียว และแน่นอนว่าสิ่งที่มาคู่กับฟุตบอล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือตัวของนักเตะนั่นเอง

        
บนโลกใบนี้มีนักเตะฝีเท้าดี ๆ อยู่มากมายเต็มไปหมด บางคนไม่ได้ดีแค่เรื่องของฝีเท้าอย่างเดียวด้วย หากแต่เรื่องนอกสนามก็มีความน่าสนใจที่ไม่แพ้กัน เหตุนี้เอง เว็บไซต์ mensvanity.com จึงได้คัดเลือก 15 นักเตะแข้งทอง ที่น่าสนใจและมีผลงานดีมาตลอดช่วงปี 2011 ฉะนั้นแล้ว เราไปดูกันดีกว่าว่า ทั้ง 15 แข้งทองนั้น จะมีใครกันบ้าง และแต่ละคนจะเก่งกาจและน่าสนใจกันขนาดไหน ตามมาดูกันเลย..


icon 1. ฟร้องก์ ริเบรี่ (Franck Ribery)

         ปีกหน้าบากเลือดน้ำหอมคนนี้ คือหนึ่งในนักเตะฝีเท้าฉกาจที่หลาย ๆ ทีมในยุโรปต้องการตัวไปร่วมทีมด้วย ณ ขณะนี้ เขาเป็นกำลังสำคัญให้กับ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค (Bayern Munich) ทีมดังแห่งแคว้นบาวาเรีย ของวงการลูกหนังเยอรมัน ด้วยฝีเท้าที่เร็วจัดจ้าน ทักษะเฉพาะตัวชั้นเลิศ รวมถึงความหนักหน่วงในการยิงแต่ละลูกนั้น ทำให้เขากลายเป็นเจ้าชายและขวัญใจแฟนบอลคนใหม่ของค่ายเสือใต้ไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ริเบรี่ ยังเคยได้รับการยกย่องจาก "ซีเนอดีน ซีดาน" อดีตสตาร์ลูกหนังรุ่นพี่ร่วมชาติ ให้เป็น "เพชรเม็ดงาม" ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสอีกด้วย


icon 2. อาร์เยน ร็อบเบน (Arjen Robben)

         หากจะพูดถึงนักเตะตำแหน่งริมเส้นสักคนหนึ่ง ที่ถนัดซ้ายโดยธรรมชาติ ลีลาพริ้วไหว ทักษะเฉพาะตัวเป็นเลิศ ยิงได้หนักหน่วง และมีสปีดพร้อมเลี้ยงบอลให้เชื่องเท้าแล้วล่ะก็ ชื่อของ "อาร์เยน ร็อบเบน" จะต้องมีอยู่ในลิสของใครหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน การ่วมงานประสานเกมรุกคู่กับ ริเบรี่ ให้บาเยิร์น มิวนิค ทำให้ ณ ขณะนี้ ทีมดังแห่งเมืองเบียร์มีผลงานที่โดดเด่นมาก ๆ ทั้งการเป็นจ่าฝูงในศึกบุนเดสลีกา และหนทางที่สดใสในศึก "ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก"

         ลีลาการล็อกหลบคู่ต่อสู้ ก่อนจะทำประตูด้วยการปั่นเท้าซ้ายข้างถนัดอย่างเป็นกอบเป็นกำ คือภาพที่แฟนบอลทั่วโลกต่างจดจำกันได้เป็นอย่างดี และเขานี่แหละ ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะพาทีมชาติฮอลแลนด์ไปร่วมศึก "ยูโร 2012" ที่ยูเครนและโปแลนด์ เป็นเจ้าภาพร่วมกับสตาร์ดัง ๆ คนอื่น ๆ อีกมากมาย


icon 3. แฟรงค์ แลมพาร์ด (Frank Lampard)

         มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษของ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี (Chelsea) คนนี้ คือบุคคลที่นักฟุตบอลในสมัยนี้ถือเอาเป็นแบบอย่างกันมากมาย ด้วยลักษณะเฉพาะตัวในการเล่นฟุตบอล ทั้งการผ่านบอลในจังหวะสวย ๆ การทำประตู การยิงลูกฟรีคิก และการเปิดบอลที่แม่นยำ คือภาพลักษณ์ประจำตัวของเขาที่ช่วยให้เชลซีประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น

         โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาล 2004 - 2005 และ 2005 - 2006 รวมถึงในฤดูกาล 2009 - 2010 แลมพาร์ด ถือเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญที่ช่วยให้เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นผลสำเร็จ สร้างความชื่นมื่นให้แก่ตัวเขาและแฟนบอลให้ได้จดจำแบบไม่รู้ลืมเลยทีเดียว และแม้ว่าในปีนี้ เขาจะมีอายุที่มากแล้ว แต่เขาเองก็ยังคงเป็นตัวหลักให้ทีมต่อไปเช่นเดิม


icon 4. ซามูเอล เอโต้ (Samuel Eto’o)

         ศูนย์หน้าทีมชาติแคเมอรูนรายนี้ สร้างชื่อแบบดังเปรี้ยงปร้างไว้กับ "บาร์เซโลน่า" (Barcelona) เจ้าบุญทุ่มของฟุตบอลสเปน คว้ารางวัลดาวซัลโวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากที่ทำผลงานกระฉูดยิงไปเกิน 100 ประตูในตลอด 5 ฤดูกาลที่ลงเล่นให้บาร์ซ่า จากนั้นเขาเองได้ย้ายมาค้าแข้งอยู่กับยักษ์ใหญ่แดนรองเท้าบูทอย่าง "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน (Inter Milan) และก็ยังคงเป็นตัวหลักและทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งมาในทุกวันนี้ เขาเองได้ย้ายไปขุดทองและเก็บตังค์อยู่ที่รัสเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลักจากที่ "อันชี่ มาคาชคาล่า" (Anzhi Makhachkala) ทีมฟุตบอลสุดร่ำรวยได้ทุ่มเงินไม่อั้น คว้าตัวเอโต้ไปบรรเลงเพลงแข้งตามที่ได้คาดหมายไว้  แถมการย้ายไปรัสเซียของเขาในครั้งนี้ ยังนำมาซึ่งรายได้ต่อสัปดาห์อันมหาศาลเลยทีเดียว


icon 5. ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา (Didier Drogba)

         กองหน้าอีกหนึ่งรายที่อยู่ในใจหลาย ๆ คนก็คือ "ไอ้แมลงสาบ" ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ชาวไอเวอร์รี่ โคสต์ ของเชลซีนั่นเอง ดร็อกบาถือเป็นนักฟุตบอลที่มีจุดเด่นมากมาย ทั้งด้านสรีระที่สูงใหญ่ แข็งแรง พร้อมท่าชนกับกองหลังสูงใหญ่ได้แบบสบาย ๆ ฝีเท้าคมกริบ ลูกโหม่งก็ไม่เป็นรองใคร แถมด้วยลีาท่าทางในการแสดงความดีใจหลังทำประตูได้ที่ชวนแฟนบอลเกิดอาการหมันไส้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ชื่อของ "ดร็อกบา" กลายเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมากมาย และแม้ว่าอายุอานามของเขาจะเดินทางเข้าเลขสามแล้ว แต่เส้นทางในการค้าแข้งของเขา ก็ยังคงสดใสและพร้อมทำถล่มประตูอย่างหนักหน่วงได้ทุกเมื่อเหมือนกัน


icon 6. อันเดรส อิเนียสต้า (Andres Iniesta)

         เขาคนนี้คือหนึ่งในกองกลางที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็ยกย่องเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า หากมีการจัดอันดับกองกลางที่ดีสุดในโลกแล้วล่ะก็ ชื่อของอิเนียสต้า จะต้องมีติดในระดับท็อป ๆ ของโลกอย่างแน่นอน ความสามรถของเขาในการวิ่งหาพื้นที่ในการเล่นบอล ทักษะการจ่ายบอลที่ไม่เป็นสองรองใคร และการหลุดเข้าไปทำประตูหรือเติมจังหวะเกมรุก เขาเองก็ทำได้ดีแบบดีมาก ๆ เลยด้วย

         อย่างไรก็ดี อิเนียสต้า ถือเป็นนักเตะก้นหม้อที่น่าภาคภูมิใจของสโมสรบาร์เซโลน่า เนื่องจากเป็นนักเตะที่มีการพัฒนาฝีเท้าของตัวเองมาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่อยู่ในระดับทีมเยาวชน ไล่มาจนขึ้นทีมสำรอง ก่อนจะมาเป็นตัวจริงให้กับทีมชุดใหญ่และยืนหยัดกับตำแหน่งตัวจริงได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งนอกจากที่ตัวเขาจะมีเกียรติประวัติกับบาร์ซ่ามากมายแล้ว ในนามทีมชาติ เขาก็คือหนึ่งในยอดขุนพลกระทิงดุ ที่สามารถคว้าแชมป์โลก 2010 ที่แอฟริกาใต้มาครองด้วยเช่นกัน


icon 7. นานี่ (Nani)

         มิดฟิลด์ตัวริมเส้นที่แฟนบอลชาวไทยเราขนานนามให้แบบน่าเอ็นดูว่า "อาบัง" นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากมาย ก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักเตะรุ่นพี่อย่าง "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" (Christiano Ronaldo) ด้วยลีลาการเล่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน สับขาหลอกคู่ต่อสู้เป็นว่าเล่น ชั้นเชิงก็เทพซะเหลือเกิน นี่เองจึงทำให้นานี่ได้รับการจับตามองจากแฟนบอลและทีมใหญ่ ๆ มากมายไปโดยปริยาย

         นอกจากนี้ในส่วนของการรับใช้ชาตินั้น นานี่ ก็ถือเป็นตัวหลักในการรังสรรค์เกมรุกให้ทีมฝอยทองในการตะลุยเกมรับของคู่ต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า ทั้งในส่วนของทีมชาติโปรตุเกสและสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขานั้น เขานั้นจะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จได้มากน้อยขนาดไหนบ้าง


icon 8. ชาบี เอร์นานเดซ (Xavi Hernandez)

         อีกหนึ่งนักเตะระดับมาสเตอร์พีชจากค่ายบาร์ซ่า ผู้นี้คือผุ้ที่ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระตัวจริงเสียงจริง ไม่ว่าจะเล่นให้กับสโมสรหรือทีมชาติสเปน การที่มีเอร์นานเดซอยู่ในทีม ถือเป็นขวัญกำลังใจชั้นยอดของเพื่อนร่วมทีมที่จะมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยว่า ทีมจะทำผลงานได้ดีอย่างแน่นอน สไตล์การเล่นของเขาคือสิ่งที่หลาย ๆ สโมสรต้องการ นั่นก็คือศูนย์กลางของการบัญชาการและการเชื่อมเกมระหว่างแดนหน้ากับแดนหลัง การเปิดบอลที่แม่นยำเหมือนจับวาง การผ่านบอลให้เพื่อนอย่างเหมาะเจาะ และเทคนิคเฉพาะตัวต่าง ๆ ล้วนแล้วมีอยู่ในตัวของเขาทั้งสิ้น และเรา ๆ ท่าน ๆ ก็จะได้เห็นฟอร์มของเขาแบบเต็ม ๆ ในทัวร์นาเมนท์ "ยูโร 2012" อย่างแน่นอน


icon 9. กาก้า (Kaka)

         ขึ้นชื่อว่านักเตะแข้งทองนั้น ครั้นจะไม่กล่าวถึง "กาก้า" นักเตะขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่หลาย ๆ คนเห็นทีจะไม่ได้ นอกจากตาอันหล่อเหลาที่ทำเอาสาว ๆ หวั่นไหวกันไปมากมายแล้ว ฝีเท้าและประสบการณ์ของเขาก็เป็นสิ่งที่น่าประทับใจ ถึงขั้นที่ว่าเป็นไอดอลของนักเตะรุ่นใหม่ ๆ หลายต่อหลายคนเลยด้วย

         เกียรติประวัติของกาก้าทั้งรางวัล "บัลลงดอร์" (Ballon d’Or) และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2007 ของฟีฟ่า คือสิ่งที่การันตีความสามารถของเขาได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญไปกว่านั้น จิตใจของเขาก็หล่อไม่แพ้ใบหน้าด้วยเหมือนกัน เพราะกาก้าได้ทำงานเพื่อสังคมด้านมนุษยธรรมเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะในปี 2004 เขาได้เป็นทูตเกี่ยวกับอาหารโลก รวมถึงไปสอนทักษะการเล่นฟุตบอลให้เด็ก ๆ ที่ยากไร้ภายใต้โครงการของสหประชาชาติอีกด้วย


icon 10. เวย์น รูนี่ย์ (Wayne Rooney)

         ศูนย์หน้าคนสำคัญทั้งของ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ "สิงโตคำราม" ทีมชาติอังกฤษ เป็นหนึ่งในนักเตะที่มาแรงฟอร์มดีอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว เขาถือเป็นนักเตะพรสวรรค์สูงอีกคนหนึ่งของโลกที่น่าจับตามองมาก ๆ เพราะด้วยอายุอานามที่ยังน้อย จึงทำให้โอกาสในอาชีพค้าแข้งของเขาและการทำประตูทำลายสถิติอย่างเป็นกอบเป็นกำนั้น สดใสมาก ๆ เลยทีเดียว

ตอร์เรส

icon 11. เฟร์นานโด ตอร์เรส (Fernando Torres)

         กองหน้าเจ้าของฉายา "แก้มน้ำเงิน" คนนี้ คือกองหน้าที่มีราคาค่าตัวสูงที่สุดในโลก ด้วยค่าตัวที่ 50 ล้านปอนด์ หรือราว ๆ 2,500 ล้านบาท ด้วยการย้ายจาก "ลิเวอร์พูล" (Liverpool) ไปอยู่กับ "เชลซี" (Chelsea) ต้นสังกัดใหม่ สำหรับตอร์เรสแล้ว ถือเป็นกองหน้าที่สร้างชื่อมานับตั้งแต่ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกบ้านเกิดกับ "แอตเลติโก้ มาดริด" (Atletico Madrid) ด้วยทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่ดีเลิศ ยิงคม มีความเร็ว คล่องตัวสูง และใช้โอกาสไม่เปลือง เหล่านี้จึงทำให้เขาเป็นที่จับตามองของยักษ์ใหญ่หลาย ๆ ทีม

         แม้ว่า ณ ปัจจุบัน ตอร์เรสจะมีปัญหาในเรื่องของความมั่นใจในการเล่นกับเชลซีที่ดูเหมือนจะขาดหายไปจากตัวเขา แต่ผลงานที่ผ่าน ๆ มาก็ถือว่าทำได้ดีสมพอควร ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ตอร์เรสจะยังคงเป็นตัวเลือกในอันดับต้น ๆ ของกุนซือหลาย ๆ คน ที่อยากจะมีเขาไปร่วมทีมด้วยนั่นเอง


icon 12. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (Zlatan Ibrahimovic)

         นับตั้งแต่ช่วงปี 2006 เป็นต้นมา ชื่อของอิบราฮิโมวิช เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลกมากขึ้น ด้วยความเป็นกองหน้าที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความหนักหน่วงในการทำประตูประมาณว่าถุงมือของผู้รักษาประตูไม่ขาดก้นับว่าดีมาก ๆ แล้ว อีกทั้งลูกได้ลูกชนที่แข็งแกร่ง หาจังหวะการทำประตูได้ดี มีสัญชาติญาณของความเป็นศูนย์หน้าอยู่ในตัว นี่เองจึงทำหลายเขาได้มีโอกาสไปร่วมทีมใหญ่ ๆ ของยุโรปมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม, ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน, บาร์เซโลน่า และกับต้นสังกัดในปัจจุบันอย่าง เอซี มิลาน และแน่นอนว่า ด้วยความสามารถระดับนี้แล้ว ค่าตัวของเขาก็พุ่งกระฉูดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน


icon 13. คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo)

         แม้ว่าในช่วงแรก ๆ ที่ "โด้จิ้ว" หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะโดนแฟนบอลค่อนขอด หาว่าหวงบอลเกินไป ขี้เลี้ยง ขี้เต๊ะ เอะอะสับขาหลอกคู่ต่อสู้อย่างเดียว จนทำให้ระบบทีมเสียไปหมด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เขาเองก็ปรับปรุงตัวและวิธีการเล่นให้ดีมากขึ้น จนในทุกวันนี้ เขาคือมิดฟิลด์คนสำคัญของ เรอัล มาดริด ที่เมื่อลงสนามทีไร คู่ต่อสู้เป็นได้เหนื่อย หอบแฮกกันไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว

         ข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่โรนัลโด้ปฏิบัติมาโดยตลอดก็คือ การรักษาสภาพความฟิตของร่างกายตลอดเวลา ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาสามารถลงเล่นแทบจะทุกนัดในตลอดทั้งฤดูกาลได้แบบสบาย ๆ ที่สำคัญไปกว่านั้น ด้วยทักษะอันล้นเหลือของเขา ประกอบกับการที่เขาได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าต่าง ๆ มากมาย จึงเป็นเหตุให้ราชันชุดขาว ยอมลงทุนแบบมหาศาลด้วยการพาตัวเขาออกจากถิ่นโอลแทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 80 ล้านปอนด์ หรือเกือบ ๆ 4,000 ล้านบาท


icon 14. สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด (Steven Gerrard)

         เมื่อพูดถึงสโมสรลิเวอร์พูล สิ่งแรกที่หลาย ๆ คนจะนึกถึงกันเสมือนเป็นตัวแทนของสโมสรนั่นก็คือ มิดฟิลด์พลังไดนาโม ผู้ซึ่งเป็นกัปตันของทีม "สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด" ด้วยความมุ่งมั่นเกินร้อย ทุ่มเทไม่มียั้ง เด็ดขาดในการบัญชาเกม คอยกระตุ้นและปลุกเร้าเลือดนักสู้ของเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา รวมไปถึงทักษะด้านลูกหนังที่บู๊ดีเดือด ผ่านบอลแม่นยำ ยิงไกลได้ได้ มีลูกฟรีคิกที่หวังผลได้ และอื่น ๆ อีกมากมายสารพัด จึงไม่แปลกใจเลยที่เขา จะสามารถครองใจแฟนบอลให้รักและศรัทธาได้อย่างเหนียวแน่น

         ผลงานเด่น ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นการพาทีมชนะจุดโทษ เอซี มิลาน ก่อนจะครองแชมป์เป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 5 ของสโมสร เมื่อปี 2005 ขณะที่เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา เขาก็ได้คำชมจาก "ซีเนอดีน ซีดาน" ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของโลกจากความรู้สึกของซีดานเองอีกด้วย นอกจากนี้ในปี 2010 เจอร์ราร์ด ยังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของโลกให้เป็นที่ภูมิใจทั้งกับตัวเขาเองและแฟนบอลอีกด้วย




icon 15. ลีโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi)

         ปิดท้ายที่สุดยอดนักเตะที่ ณ เวลานี้ หลาย ๆ คนต่างยกให้เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดโลกแล้ว เมสซี่ ได้รับการจับตามองมาโดยตลอดกับทักษะของเขาที่หาตัวจับยาก ลีลาพริ้วไหว ยิงคม เลี้ยงเก่ง แย่งบอลยาก ว่องไว หาพื้นที่ได้ดี จ่ายบอลฉลาด และมีเทคนิคเฉพาะตัวที่ยากจะลอกเลียนแบบ นอกจากนี้ เคยมีคนเปรียบเทียบเขากับ "เสื้อเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ด้วยว่า เมสซี่นี่แหละคือ "มาราโดน่า หมายเลข 2 " ตัวจริงเสียงจริง

         เกียรติประวัติของเขาถือว่าได้เร็วกว่านักเตะดัง ๆ หลาย ๆ คนเสียอีก ทั้งรางวัล บัลลง ดอร์ และนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ในวัยเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้น แถมยังเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักฟุตบอลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเวลาปัจจุบันของนิตยสาร "ไทม์" (Time) อีกด้วย นอกจากนั้น ปรากฏการณ์ของเขาบนโลกไซเบอร์ ก็ฮอตฮิตไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่นในเฟซบุ๊ก ที่เพียงวันแรกที่มีการเปิดเพจอย่างเป็นทางการ ก็มีคนคลิกไลค์เขาไปถึง 6 ล้านคน ซึ่งในเวลาต่อมา มีจำนวนคนคลิกไลค์เมสซี่ไปแล้วกว่า 24 ล้านคนเลยทีเดียว